top of page

การแบ่งระดับความเข้มของกลิ่นน้ำหอมที่ควรรู้

เรียนรู้กลิ่นน้ำหอมแต่ละระดับ และการเลือกใช้น้ำหอมให้เหมาะกับกาลเทศะ


น้ำหอม สามารถถูกมองว่าเป็น "เครื่องประดับ" ในความหมายทางวัฒนธรรมและสังคมได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นเครื่องประดับในความหมายเชิงกายภาพเหมือนกับแหวน สร้อยคอ หรือกำไลแต่ในทางกลับกัน น้ำหอม ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างบุคลิกและภาพลักษณ์ของผู้สวมใส่ เช่นเดียวกันกับเครื่องประดับที่ทำหน้าที่ตกแต่งและเพิ่มความโดดเด่น น้ำหอม จึงทำหน้าที่ในเชิงเสริมสร้างความมั่นใจและเสน่ห์ในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล


น้ำหอม สามารถทำให้ผู้ใช้รู้สึกพิเศษและเป็นที่น่าจดจำได้ เช่น กลิ่นโรงแรม กลิ่นโรงหนัง หรือกลิ่นตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นกลิ่นที่เมื่อเราได้สูดดมเข้าไปแล้ว ภาพจำต่างๆ ก็จะย้อนกลับเข้ามาหาเรา โดยในปัจจุบันโรงแรมหลายแห่งได้เลือกใช้บริการผลิตน้ำหอมจากบริษัทน้ำหอม ให้ออกมาเป็นแบรนด์หรือกลิ่นเฉพาะของโรงแรม (CI Brand หรือ Brand Identity) โดยมักจะใช้เครื่องกระจายกลิ่นน้ำหอม ทำให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่มาใช้บริการโรงแรมเกิดการจดจำกลิ่น และกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโรงแรมนั้น ๆ ซึ่งกลิ่นหอมที่เหมาะสมกับโอกาสและบุคลิกภาพ สามารถเพิ่มความน่าสนใจได้ และทำให้คนรอบข้างสามารถสัมผัสถึงบรรยากาศที่คุณสร้างขึ้น เช่นเดียวกันกับเครื่องประดับที่สามารถเปลี่ยนลุคและสไตล์ของคุณได้ น้ำหอมจึงสามารถทำให้ผู้ใช้ดูมีเอกลักษณ์และเสริมบุคลิกภาพในลักษณะที่เป็นทางเลือกส่วนตัว


แต่ก่อนจะไปเรียนรู้เรื่องระดับความเข้มข้นของน้ำหอม เราควรที่จะต้องเรียนรู้สิ่งนี้กันก่อน เพราะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ยังมีการถกเถียงกันอยู่ ระหว่างคำว่า Parfum กับ Perfume นั้น มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร


"Parfum" และ "Perfume" เป็นคำที่มักถูกใช้ในบริบทของน้ำหอม แต่มีความแตกต่างเล็กน้อยในแง่ของความเข้มข้นของน้ำหอม


  1. Parfum (Pure Perfume/Extrait de Parfum)

    เป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูงที่สุด มีปริมาณน้ำมันหอม (essential oils) สูงถึง 20-30% หรือมากกว่านั้น จึงมีความหอมที่ติดทนยาวนานที่สุด และมีราคาสูงที่สุดในบรรดาประเภทของน้ำหอมทั้งหมด เนื่องจากใช้สารหอมในปริมาณสูง


  2. Perfume (Eau de Parfum)

    มีความเข้มข้นของน้ำมันหอมประมาณ 15-20% มีกลิ่นที่ติดทนนาน แต่ไม่เท่ากับ Parfum ในส่วนของราคาก็จะต่ำกว่าเล็กน้อย และเป็นประเภทของน้ำหอมที่พบเจอได้บ่อยในตลาด โดยทั้งสองคำมีความหมายคล้ายกันในแง่ของการใช้น้ำหอม แต่แตกต่างกันในระดับความเข้มข้นของสารหอมและความติดทนนาน


การแบ่งระดับความเข้มของกลิ่นน้ำหอมที่ควรรู้


น้ำหอม ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยเสริมบุคลิกภาพและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งแต่ละคนล้วนมีความชอบในกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป แต่รู้หรือไม่ว่า น้ำหอมเองก็มีระดับความเข้มของกลิ่นที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อความหอมและระยะเวลาที่กลิ่นจะติดทนนาน ดังนั้นการเข้าใจระดับความเข้มของกลิ่นน้ำหอม จะช่วยให้เราสามารถเลือกน้ำหอมที่ตรงกับความต้องการของเราได้อย่างเหมาะสม


  1. Eau de Cologne (EDC)

    น้ำหอมประเภทนี้มีความเข้มข้นของน้ำมันหอมน้อยที่สุด ระดับความเข้มข้นจะอยู่ที่ประมาณ 2-4% ทำให้กลิ่นเบา สดชื่น และไม่ฉุนจนเกินไป และโดยปกติแล้วกลิ่นของ Eau de Cologne จะติดอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการกลิ่นหอมที่ไม่รุนแรงและให้ความสดชื่นในระยะเวลาสั้น ๆ

  2. Eau de Toilette (EDT)

    Eau de Toilette ถือเป็นระดับที่คนนิยมใช้กันมากที่สุด ด้วยความเข้มข้นของน้ำมันหอมอยู่ที่ประมาณ 5-15% ทำให้กลิ่นติดทนนานขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 4-6 ชั่วโมง จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยกลิ่นที่ออกมานั้นจะสดใสและบางเบา เหมาะกับทุกโอกาส

  3. Eau de Parfum (EDP)

    ด้วยความเข้มข้นของน้ำมันหอมที่อยู่ในระดับ 15-20% ทำให้ Eau de Parfum มีกลิ่นที่หนักแน่นและติดทนนานขึ้น ซึ่งปกติจะอยู่ที่ประมาณ 6-8 ชั่วโมง โดยเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความหรูหราและกลิ่นที่คงอยู่ตลอดวัน อีกทั้ง EDP มักถูกใช้ในโอกาสพิเศษ หรือเมื่อคุณต้องการความมั่นใจเป็นพิเศษ

  4. Parfum (Extrait de Parfum)

    นี่คือระดับที่สูงที่สุดของน้ำหอม ด้วยความเข้มข้นของน้ำมันหอมที่มากกว่า 20% ทำให้ Parfum มีกลิ่นที่ติดทนนานที่สุด ซึ่งอาจจะยาวนานถึง 24 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น โดยกลิ่นจะมีความลึกและซับซ้อน เหมาะกับการใช้งานในช่วงเย็นหรือโอกาสพิเศษที่ต้องการความหรูหราเป็นพิเศษ


วิธีเลือกน้ำหอมตามความเข้มข้น

การเลือกน้ำหอม ไม่ใช่แค่เรื่องของกลิ่นที่ชอบเท่านั้น แต่ยังควรพิจารณาระดับความเข้มข้นของน้ำหอมด้วย เพราะเนื่องจากจะมีผลต่อการใช้งานและความรู้สึกของผู้ที่อยู่รอบตัวเรา โดยหากคุณต้องการน้ำหอมสำหรับใช้งานในทุกวัน Eau de Toilette หรือ Eau de Parfum อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากคุณต้องการกลิ่นที่ทนทานยาวนานและหรูหราในโอกาสพิเศษ Parfum ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด



ศิลปะแห่งการเลือกกลิ่นน้ำหอมให้เหมาะกับทุกสถานการณ์

น้ำหอม เป็นมากกว่าแค่การเพิ่มกลิ่นหอมให้กับตัวเอง แต่ยังเป็นเครื่องมือที่สามารถบ่งบอกถึงบุคลิกภาพ สไตล์ หรือแม้แต่ความรู้สึกของผู้ใช้งานได้ การเลือกใช้น้ำหอมตามโอกาสต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการเสริมภาพลักษณ์และสร้างความประทับใจได้อย่างดี นี่คือคำแนะนำสำหรับการใช้น้ำหอมตามโอกาสต่าง ๆ เพื่อให้คุณสามารถเลือกกลิ่นที่เหมาะสมและมีเสน่ห์ได้ในทุกสถานการณ์


  1. การใช้น้ำหอมในชีวิตประจำวัน

    สำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การทำงาน การไปเรียน หรือการทำกิจกรรมทั่วไป คุณควรเลือกน้ำหอมที่ให้ความรู้สึกสดชื่น บางเบา ไม่ฉุนจนเกินไป และสามารถใช้งานได้ตลอดวัน น้ำหอมประเภท Eau de Toilette (EDT) หรือน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้ ผลไม้ หรือกลิ่นแนวธรรมชาติ จะเป็นตัวเลือกที่ดีในการสร้างความรู้สึกผ่อนคลายและสดชื่น

    ตัวอย่างกลิ่น : กลิ่นส้ม ซิตรัส หรือกลิ่นดอกไม้เบาๆ เช่น มะลิ หรือกุหลาบ


  2. การใช้น้ำหอมในการสัมภาษณ์งานหรือการประชุม

    ในโอกาสที่เป็นทางการ เช่น การสัมภาษณ์งาน หรือการประชุมสำคัญ ควรเลือกน้ำหอมที่มีความหรูหรา แต่ยังคงความนุ่มนวลและเป็นมืออาชีพ น้ำหอมประเภท Eau de Parfum (EDP) ที่มีกลิ่นแนวอ่อนหวานหรือกลิ่นแนวไม้ที่ลึกซึ้ง จะช่วยสร้างความมั่นใจและความเป็นมืออาชีพในตัวคุณ

    ตัวอย่างกลิ่น : กลิ่นวานิลลา, กลิ่นไม้จันทน์ หรือกลิ่นมัสก์ที่อ่อนโยน


  3. การใช้น้ำหอมในงานเลี้ยงตอนกลางคืน

    เมื่อถึงเวลาของงานเลี้ยง งานปาร์ตี้ หรืองานกลางคืนที่คุณต้องการความโดดเด่น น้ำหอมที่มีกลิ่นเข้มข้นและลุ่มลึก จะช่วยสร้างเสน่ห์และความน่าหลงใหลได้เป็นอย่างดี ซึ่งน้ำหอมประเภท Parfum (Extrait de Parfum) ที่มีความเข้มข้นสูง จะทำให้คุณมีกลิ่นหอมติดทนนานตลอดคืน อีกทั้งยังสามารถเลือกกลิ่นที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศ กลิ่นหนัง หรือกลิ่นไม้ที่หนักแน่น เพื่อเพิ่มความน่าจดจำได้

    ตัวอย่างกลิ่น : กลิ่นเครื่องเทศ, กลิ่นอำพัน หรือกลิ่นดอกไม้ที่เข้มข้น


  4. การใช้น้ำหอมในวันหยุดหรือการเดินทาง

    ในวันหยุดที่คุณต้องการความรู้สึกผ่อนคลาย น้ำหอมที่มีความสดชื่นหรือแนวกลิ่นธรรมชาตินั้น จะเป็นตัวเลือกเหมาะสมที่สุด ซึ่งกลิ่นที่ให้ความรู้สึกเบาสบาย เช่น กลิ่นทะเล กลิ่นสมุนไพร หรือกลิ่นหญ้า จะช่วยสร้างบรรยากาศของการพักผ่อนและเติมพลังให้กับคุณได้เป็นอย่างดี

    ตัวอย่างกลิ่น : กลิ่นลาเวนเดอร์, กลิ่นโรสแมรี่ หรือกลิ่นมินต์


  5. การใช้น้ำหอมในโอกาสพิเศษ เช่น งานแต่งงานหรืองานเลี้ยงหรู

    สำหรับโอกาสพิเศษอย่างงานแต่งงานหรือการออกเดตที่สำคัญ น้ำหอมที่มีกลิ่นหรูหราและโรแมนติกจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่น่าประทับใจ ซึ่งเราสามารถเลือกน้ำหอมที่มีกลิ่นดอกไม้ที่หอมละมุน กลิ่นแนวแป้ง หรือกลิ่นวานิลลา เพื่อสร้างความหวานซึ้งและตราตรึงใจได้

    ตัวอย่างกลิ่น : กลิ่นดอกพีโอนี, กลิ่นวานิลลา, หรือกลิ่นกุหลาบเข้มข้น


  6. การใช้น้ำหอมในกิจกรรมกีฬา

    ใครว่าเล่นกีฬาแล้วจะฉีดน้ำหอมไม่ได้ ลองดูคำแนะนำนี้ก่อน ซึ่งเมื่อทำกิจกรรมกีฬาหรือออกกำลังกาย คุณควรเลือกน้ำหอมที่มีกลิ่นสดชื่นและสะอาด โดยน้ำหอมที่มีความเข้มข้นต่ำอย่าง Eau de Cologne (EDC) หรือสเปรย์น้ำหอมสำหรับร่างกายนั้น จะเป็นตัวเลือกที่ดี และช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นและไม่หนักกลิ่นจนเกินไป

    ตัวอย่างกลิ่น : กลิ่นซิตรัส, กลิ่นเปปเปอร์มินต์ หรือกลิ่นชาเขียว


การเลือกใช้น้ำหอมตามโอกาส จึงเป็นการบ่งบอกถึงรสนิยมและความใส่ใจในรายละเอียดของตัวคุณเอง การเลือกกลิ่นที่เหมาะสม จะช่วยเสริมสร้างความประทับใจและความมั่นใจในทุกๆ สถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในวันทำงาน งานพิเศษ หรือแม้กระทั่งวันหยุดสุดสัปดาห์


และการเข้าใจระดับความเข้มของกลิ่นน้ำหอม จะช่วยให้คุณเลือกน้ำหอมได้อย่างชาญฉลาดและตรงกับตามความต้องการได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในชีวิตประจำวัน หรือในโอกาสพิเศษ น้ำหอมที่เหมาะสม จะช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของคุณได้อย่างดีและเพิ่มความมั่นใจในทุก ๆ วัน


หากคุณกำลังมองหาโรงงานน้ำหอม หรืออยากทำแบรนด์น้ำหอมของตัวเอง ที่ SCENT&SENSE เราเป็นทีมนักออกแบบกลิ่นน้ำหอมและทีมนักวิทยาศาสตร์ เราได้นำผลผลิตทางการเกษตรและงานฝีมือ มาประยุกต์เข้ากับศาสตร์ของน้ำหอม (Sensory marketing) มาผลิตเป็นวัตถุดิบและสินค้าที่มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์หรือที่เรียกว่า CI Brand หรือ Brand Identity เพื่อสื่อความเป็นตัวตนของธุรกิจลูกค้าได้อย่างชัดเจน


สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือปรึกษาเรื่องการผลิตแบรนด์น้ำหอมได้ที่

Comments


Featured Posts

Recent Posts

!

Archive

!

Search By Tags

Follow Us

  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
bottom of page