top of page

PERFUME 101: ความรู้เกี่ยวกับน้ำหอมขั้นพื้นฐาน ทำมาจากอะไร และมีกี่ประเภท

อัปเดตเมื่อ 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา

น้ำหอมเปรียบเสมือนศิลปะแขนงหนึ่งที่มีมนต์เสน่ห์น่าหลงใหลและน่าค้นหา  หากลองหลับตา เรามักจะจดจำกลิ่นของสิ่งนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นบรรยากาศหลังฝนตก กลิ่นเตียงนอน หรือกลิ่นประจำตัวของคนที่คุณรัก กลิ่นเหล่านี้เปรียบเสมือน "ข้อความในขวด" ที่ช่วยสื่อสารบุคลิกและอารมณ์ที่ซับซ้อนของผู้ใช้ออกไป  โดยในบทความนี้จะกล่าวถึง เกร็ดความรู้เกี่ยวกับน้ำหอม , น้ำหอมมีกี่ประเภท , โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญกันค่ะ


ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านบริการรับออกแบบกลิ่นน้ำหอมของเรามีข้อมูลดี ๆ มาฝากกันค่ะ โดยในบทความนี้จะกล่าวถึง "ความรู้พื้นฐานน้ำหอม" เริ่มจาก "กงล้อน้ำหอม" เป็นเครื่องมือแสดงถึงประเภทของกลิ่น แบ่งประเภทน้ำหอมตามส่วนประกอบหลักที่ให้อารมณ์ที่แตกต่างกัน

ความรู้เกี่ยวกับน้ำหอม
perfume101

กลิ่นน้ำหอม มี กี่ ประเภท? เจาะลึก 'กงล้อน้ำหอม' (Fragrance Wheel)

วงล้อน้ำหอม (Fragrance Wheel) เป็นเครื่องมือมาตรฐานที่สำคัญที่สุดในการจำแนกและทำความเข้าใจตระกูลกลิ่น  ซึ่งถูกออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านกลิ่นหอมอย่าง Michael Edwards เพื่อจัดระเบียบน้ำหอมออกเป็น 4 ตระกูลหลัก ที่เชื่อมโยงกับโทนกลิ่นย่อย ๆ อย่างเป็นระบบได้แก่


ree
  1. Floral

ตระกูล Floral มอบความรู้สึกอ่อนหวาน โรแมนติก และความเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นตระกูลกลิ่นที่ใหญ่และได้รับความนิยมสูงสุด ภายในตระกูลนี้จะแบ่งย่อยออกเป็นกลิ่นดอกไม้ที่ตรงไปตรงมา (Floral), กลิ่นที่นุ่มนวลผสมกลิ่นแป้ง (Soft Floral), และกลิ่นที่เริ่มผสมความอบอุ่นของเครื่องเทศอ่อน ๆ (Floral Oriental)


  1. Oriental

    ตระกูล Oriental หรือที่เรียกว่า Amber นั้น มอบความรู้สึกอบอุ่น ลุ่มลึก น่าหลงใหล และหรูหรา ด้วยกลิ่นที่มักจะติดทนนานและซับซ้อน  กลิ่นหลักของตระกูลนี้มาจากการผสมผสานของอำพันทอง (Golden Resins), วานิลลา, และเครื่องเทศต่าง ๆ  โดยมีกลุ่มย่อยที่สำคัญ เช่น Soft Oriental ที่เน้นความนุ่มนวลของยางไม้หอม และ Woody Oriental ที่ผสมผสานความเย้ายวนของอำพันเข้ากับโน้ตไม้เข้มข้นอย่างแพตชูลี่และอู๊ด


  2. Woody

    ตระกูล Woody มอบความรู้สึกอบอุ่น แข็งแรง สุขุม และมั่นคง  กลิ่นในตระกูลนี้ ซึ่งมีโน้ตหลักอย่างไม้จันทน์ (Sandalwood) และไม้สนซีดาร์ (Cedarwood) [5] มักจะถูกใช้เป็น Fixatives ใน Base Note เพื่อเพิ่มคุณภาพและความติดทนยาวนานให้กับน้ำหอม ตระกูลนี้ยังแยกย่อยเป็น Mossy Woods (กลิ่นป่าหลังฝน/โอ๊คมอส), Dry Woods (กลิ่นไม้แห้ง/ควัน) และ Woods (กลิ่นไม้ตรง ๆ)


  3. Fresh

    ตระกูล Fresh มอบความรู้สึกสะอาด สดใส และทันสมัย เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือในอากาศร้อน  กลิ่นในตระกูลนี้มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งกลิ่นจากผลไม้ตระกูลส้ม (Citrus), กลิ่นของน้ำหรืออากาศสะอาด (Water/Aquatic), และกลิ่นจากสมุนไพรหอม (Aromatic) เช่น ลาเวนเดอร์


เกร็ดความรู้:

*วิธีเก็บรักษาน้ำหอม: เก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อน ไม่ควรเก็บในตู้เย็น เนื่องจากสารหอมบางชนิดสามารถตกผลึกในอุณหภูมิที่ต่ำได้


น้ำหอมทำมาจากอะไร? ส่วนประกอบของน้ำหอม

น้ำหอมคือสารละลายที่มีความซับซ้อน ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลักสี่ส่วนเพื่อให้ได้กลิ่นที่เสถียรและติดทนนานได้แก่

  1. หัวน้ำหอม (Fragrance Concentrate): คือส่วนที่ให้กลิ่นหลัก มีความเข้มข้นตั้งแต่ 1-40% ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำหอม ซึ่งภายในประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยและ สารอะโรมา ที่รังสรรค์กลิ่น

  2. ตัวทำละลาย (Solvent): ส่วนใหญ่คือแอลกอฮอล์ (เช่น เอทานอล) ทำหน้าที่ละลายหัวน้ำหอมทั้งหมด และช่วยให้กลิ่นกระจายตัวเมื่อฉีดพ่น

  3. ตัวตรึงกลิ่น (Fixatives): เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่มีอัตราการระเหยช้า มีบทบาทเฉพาะในการช่วยตรึงกลิ่นให้อยู่ยาวนานและเพิ่มความลึกให้กับน้ำหอม    

  4. สารเติมแต่งอื่น ๆ: ส่วนประกอบเสริมอื่น ๆ เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น การเพิ่มสีหรือสารกันเสีย


พีระมิดน้ำหอม

พีระมิดน้ำหอม มีความสำคัญอย่างไร ?

วัตถุดิบของน้ำหอมมีการจัดจำแนกของการกระจายตัวของกลิ่น ตามขนาดโมเลกุลของสารประกอบนั้น นักปรุงน้ำหอมนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้เพื่อแบ่งกลิ่นเป็น 3 ระดับได้แก่


  • Top Note: มวลโมเลกุลขนาดเล็ก ระเหยง่าย การกระจายกลิ่นสูง จัดเป็นหมวด Top Note กลิ่นแรกที่สัมผัสได้และจะคงอยู่ประมาณ 15 นาที

  • Middle Note: หรือ Heart Note เป็นกลิ่นหลักของน้ำหอม (Personality)  มีโมเลกุลขนาดกลาง จะค่อย ๆ ปรากฏหลังจาก Top Note จางลง และติดทนได้ 15 นาทีถึง 5 ชั่วโมง

  • Base Note : มวลโมเลกุลขนาดใหญ่ ทำให้อัตราการระเหยช้า การกระจายกลิ่นต่ำ ทำหน้าที่เป็นตัวตรึงกลิ่น (Fixatives) เพื่อให้กลิ่นคงทนยาวนาน



เกร็ดความรู้ :

*การสื่อสารเกี่ยวกับน้ำหอมมักจะใช้คำร่วมกับทางดนตรี เนื่องจากการขั้นตอนการทำน้ำหอมชั้นสูง Fine Fragranceจะมีการร้อยเรียงส่วนผสมแต่ละตัวตั้งแต่ 40ถึง 100ชนิด เพื่อบรรเลงพร้อมกันเหมือนเสียงเพลง

ทำให้มีการเรียกกลิ่นที่ระเหยในช่วงเวลาต่างๆกันเป็นโน๊ต เช่น ท้อปโน๊ต มิดเดิ้ลโน๊ต เบสโน๊ต และโต๊ะทำงานของนักน้ำหอมก็จะถูกเรียกว่าออร์แกน (Organ) ตามเครื่องดนตรีเช่นกัน


อะไรคือ EDP..EDT..EDC? (การจำแนกน้ำหอมตามความเข้มข้น)

ปัจจุบันมีการจำแนกหมวดน้ำหอมตาม ความเข้มข้นหัวน้ำหอม และสามารถบ่งบอกช่วงเวลาในการคงอยู่ของกลิ่นอีกอย่างหนึ่ง แต่ในแง่ของผู้ใช้น้ำหอมสามารถเลือกประเภทน้ำหอมตามวาระโอกาสได้ โดยแบ่งออกได้เป็น

  • Eau de Cologne (EDC): ความเข้มข้นต่ำ (2-4%) ทำให้กลิ่นเบา สดชื่น เหมาะสำหรับใช้สร้างความสดชื่นในระยะเวลาสั้น ๆ

  • Eau de Toilette (EDT): ความเข้มข้นปานกลาง (5-15%) เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป

  • Eau de Parfum (EDP): ความเข้มข้นสูง (15-20%) เหมาะสำหรับโอกาสที่ต้องการความติดทนตลอดทั้งวัน

ree
ree

TIPS:

Eau De = แปลว่า น้ำของ... เช่น Eau de Cologne แปลว่า น้ำแห่งเมืองโคโลญน์ ซึ่งเป็นที่มาของการทำสูตรโคโลญน์ที่นิยมในปัจจุบัน

Eau de Toilette เมื่อแปลตรงตัวจะเป็นน้ำของห้องน้ำ แต่ความหมายคือ น้ำหอมสำหรับพรมผมและร่างกาย สมัยก่อนจึงนิยมใช้ก่อนแต่งตัว

Eau de Parfum แปลตรงตัวคือ น้ำของน้ำหอม เมื่อมีคำว่าน้ำนำหน้าน้ำหอม จึงหมายถึงน้ำหอมที่มีการเจือจางความเข้มข้น ทำให้มีความเข้มข้นต่ำกว่า Parfum




 
 
 

ความคิดเห็น


Featured Posts

Recent Posts

Archive

Search By Tags

Follow Us

  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
marque.png

Scent And Sense ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการตลาดด้วยกลิ่นหอม
โดยมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปีในอุตสาหกรรม ด้วยความรู้ลึกซึ้งในด้านการรับผลิต ODM น้ำหอม และการออกแบบน้ำหอม รวมถึงผลิตภัณฑ์สปา ของใช้ในโรงแรม
ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละแบรนด์

Line official
@Perfumefactory

line white.png

® 2014 by Scent And Sense Laboratory Co., Ltd

fb.webp
instagram.webp
youtube.webp
bottom of page