PERFUME 101: ความรู้เกี่ยวกับน้ำหอมขั้นพื้นฐาน ทำมาจากอะไร และมีกี่ประเภท
- Scent And Sense

- 29 เม.ย. 2564
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา
น้ำหอมเปรียบเสมือนศิลปะแขนงหนึ่งที่มีมนต์เสน่ห์น่าหลงใหลและน่าค้นหา หากลองหลับตา เรามักจะจดจำกลิ่นของสิ่งนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นบรรยากาศหลังฝนตก กลิ่นเตียงนอน หรือกลิ่นประจำตัวของคนที่คุณรัก กลิ่นเหล่านี้เปรียบเสมือน "ข้อความในขวด" ที่ช่วยสื่อสารบุคลิกและอารมณ์ที่ซับซ้อนของผู้ใช้ออกไป โดยในบทความนี้จะกล่าวถึง เกร็ดความรู้เกี่ยวกับน้ำหอม , น้ำหอมมีกี่ประเภท , โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญกันค่ะ
ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านบริการรับออกแบบกลิ่นน้ำหอมของเรามีข้อมูลดี ๆ มาฝากกันค่ะ โดยในบทความนี้จะกล่าวถึง "ความรู้พื้นฐานน้ำหอม" เริ่มจาก "กงล้อน้ำหอม" เป็นเครื่องมือแสดงถึงประเภทของกลิ่น แบ่งประเภทน้ำหอมตามส่วนประกอบหลักที่ให้อารมณ์ที่แตกต่างกัน

กลิ่นน้ำหอม มี กี่ ประเภท? เจาะลึก 'กงล้อน้ำหอม' (Fragrance Wheel)
วงล้อน้ำหอม (Fragrance Wheel) เป็นเครื่องมือมาตรฐานที่สำคัญที่สุดในการจำแนกและทำความเข้าใจตระกูลกลิ่น ซึ่งถูกออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านกลิ่นหอมอย่าง Michael Edwards เพื่อจัดระเบียบน้ำหอมออกเป็น 4 ตระกูลหลัก ที่เชื่อมโยงกับโทนกลิ่นย่อย ๆ อย่างเป็นระบบได้แก่

Floral
ตระกูล Floral มอบความรู้สึกอ่อนหวาน โรแมนติก และความเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นตระกูลกลิ่นที่ใหญ่และได้รับความนิยมสูงสุด ภายในตระกูลนี้จะแบ่งย่อยออกเป็นกลิ่นดอกไม้ที่ตรงไปตรงมา (Floral), กลิ่นที่นุ่มนวลผสมกลิ่นแป้ง (Soft Floral), และกลิ่นที่เริ่มผสมความอบอุ่นของเครื่องเทศอ่อน ๆ (Floral Oriental)
Oriental
ตระกูล Oriental หรือที่เรียกว่า Amber นั้น มอบความรู้สึกอบอุ่น ลุ่มลึก น่าหลงใหล และหรูหรา ด้วยกลิ่นที่มักจะติดทนนานและซับซ้อน กลิ่นหลักของตระกูลนี้มาจากการผสมผสานของอำพันทอง (Golden Resins), วานิลลา, และเครื่องเทศต่าง ๆ โดยมีกลุ่มย่อยที่สำคัญ เช่น Soft Oriental ที่เน้นความนุ่มนวลของยางไม้หอม และ Woody Oriental ที่ผสมผสานความเย้ายวนของอำพันเข้ากับโน้ตไม้เข้มข้นอย่างแพตชูลี่และอู๊ด
Woody
ตระกูล Woody มอบความรู้สึกอบอุ่น แข็งแรง สุขุม และมั่นคง กลิ่นในตระกูลนี้ ซึ่งมีโน้ตหลักอย่างไม้จันทน์ (Sandalwood) และไม้สนซีดาร์ (Cedarwood) [5] มักจะถูกใช้เป็น Fixatives ใน Base Note เพื่อเพิ่มคุณภาพและความติดทนยาวนานให้กับน้ำหอม ตระกูลนี้ยังแยกย่อยเป็น Mossy Woods (กลิ่นป่าหลังฝน/โอ๊คมอส), Dry Woods (กลิ่นไม้แห้ง/ควัน) และ Woods (กลิ่นไม้ตรง ๆ)
Fresh
ตระกูล Fresh มอบความรู้สึกสะอาด สดใส และทันสมัย เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือในอากาศร้อน กลิ่นในตระกูลนี้มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งกลิ่นจากผลไม้ตระกูลส้ม (Citrus), กลิ่นของน้ำหรืออากาศสะอาด (Water/Aquatic), และกลิ่นจากสมุนไพรหอม (Aromatic) เช่น ลาเวนเดอร์
เกร็ดความรู้:
*วิธีเก็บรักษาน้ำหอม: เก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อน ไม่ควรเก็บในตู้เย็น เนื่องจากสารหอมบางชนิดสามารถตกผลึกในอุณหภูมิที่ต่ำได้
น้ำหอมทำมาจากอะไร? ส่วนประกอบของน้ำหอม
น้ำหอมคือสารละลายที่มีความซับซ้อน ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลักสี่ส่วนเพื่อให้ได้กลิ่นที่เสถียรและติดทนนานได้แก่
หัวน้ำหอม (Fragrance Concentrate): คือส่วนที่ให้กลิ่นหลัก มีความเข้มข้นตั้งแต่ 1-40% ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำหอม ซึ่งภายในประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยและ สารอะโรมา ที่รังสรรค์กลิ่น
ตัวทำละลาย (Solvent): ส่วนใหญ่คือแอลกอฮอล์ (เช่น เอทานอล) ทำหน้าที่ละลายหัวน้ำหอมทั้งหมด และช่วยให้กลิ่นกระจายตัวเมื่อฉีดพ่น
ตัวตรึงกลิ่น (Fixatives): เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่มีอัตราการระเหยช้า มีบทบาทเฉพาะในการช่วยตรึงกลิ่นให้อยู่ยาวนานและเพิ่มความลึกให้กับน้ำหอม
สารเติมแต่งอื่น ๆ: ส่วนประกอบเสริมอื่น ๆ เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น การเพิ่มสีหรือสารกันเสีย

พีระมิดน้ำหอม มีความสำคัญอย่างไร ?
วัตถุดิบของน้ำหอมมีการจัดจำแนกของการกระจายตัวของกลิ่น ตามขนาดโมเลกุลของสารประกอบนั้น นักปรุงน้ำหอมนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้เพื่อแบ่งกลิ่นเป็น 3 ระดับได้แก่
Top Note: มวลโมเลกุลขนาดเล็ก ระเหยง่าย การกระจายกลิ่นสูง จัดเป็นหมวด Top Note กลิ่นแรกที่สัมผัสได้และจะคงอยู่ประมาณ 15 นาที
Middle Note: หรือ Heart Note เป็นกลิ่นหลักของน้ำหอม (Personality) มีโมเลกุลขนาดกลาง จะค่อย ๆ ปรากฏหลังจาก Top Note จางลง และติดทนได้ 15 นาทีถึง 5 ชั่วโมง
Base Note : มวลโมเลกุลขนาดใหญ่ ทำให้อัตราการระเหยช้า การกระจายกลิ่นต่ำ ทำหน้าที่เป็นตัวตรึงกลิ่น (Fixatives) เพื่อให้กลิ่นคงทนยาวนาน
เกร็ดความรู้ :
*การสื่อสารเกี่ยวกับน้ำหอมมักจะใช้คำร่วมกับทางดนตรี เนื่องจากการขั้นตอนการทำน้ำหอมชั้นสูง Fine Fragranceจะมีการร้อยเรียงส่วนผสมแต่ละตัวตั้งแต่ 40ถึง 100ชนิด เพื่อบรรเลงพร้อมกันเหมือนเสียงเพลง
ทำให้มีการเรียกกลิ่นที่ระเหยในช่วงเวลาต่างๆกันเป็นโน๊ต เช่น ท้อปโน๊ต มิดเดิ้ลโน๊ต เบสโน๊ต และโต๊ะทำงานของนักน้ำหอมก็จะถูกเรียกว่าออร์แกน (Organ) ตามเครื่องดนตรีเช่นกัน
อะไรคือ EDP..EDT..EDC? (การจำแนกน้ำหอมตามความเข้มข้น)
ปัจจุบันมีการจำแนกหมวดน้ำหอมตาม ความเข้มข้นหัวน้ำหอม และสามารถบ่งบอกช่วงเวลาในการคงอยู่ของกลิ่นอีกอย่างหนึ่ง แต่ในแง่ของผู้ใช้น้ำหอมสามารถเลือกประเภทน้ำหอมตามวาระโอกาสได้ โดยแบ่งออกได้เป็น
Eau de Cologne (EDC): ความเข้มข้นต่ำ (2-4%) ทำให้กลิ่นเบา สดชื่น เหมาะสำหรับใช้สร้างความสดชื่นในระยะเวลาสั้น ๆ
Eau de Toilette (EDT): ความเข้มข้นปานกลาง (5-15%) เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป
Eau de Parfum (EDP): ความเข้มข้นสูง (15-20%) เหมาะสำหรับโอกาสที่ต้องการความติดทนตลอดทั้งวัน


TIPS:
Eau De = แปลว่า น้ำของ... เช่น Eau de Cologne แปลว่า น้ำแห่งเมืองโคโลญน์ ซึ่งเป็นที่มาของการทำสูตรโคโลญน์ที่นิยมในปัจจุบัน
Eau de Toilette เมื่อแปลตรงตัวจะเป็นน้ำของห้องน้ำ แต่ความหมายคือ น้ำหอมสำหรับพรมผมและร่างกาย สมัยก่อนจึงนิยมใช้ก่อนแต่งตัว
Eau de Parfum แปลตรงตัวคือ น้ำของน้ำหอม เมื่อมีคำว่าน้ำนำหน้าน้ำหอม จึงหมายถึงน้ำหอมที่มีการเจือจางความเข้มข้น ทำให้มีความเข้มข้นต่ำกว่า Parfum





























ความคิดเห็น